KUBET – สภาฯ ถกญัตติเดือด ระดมความเห็นหลังรัฐบาลแอบส่ง”อุยกูร์”กลับจีน

สภาฯ ถกญัตติเดือด ระดมความเห็นหลังรัฐบาลแอบส่ง”อุยกูร์”กลับจีน

สภาฯ ถกญัตติด่วน!หลังรัฐบาลแอบส่งชาวอุยกูร์กลับจีน จี้เรียก “กต.” แจง “โรม” ชี้ส่อขัดกฎหมาย-ละเมิดอำนาจศาล แนะเตรียมป้องกันผลกระทบความมั่นคง-เศรษฐกิจ

27 กุมภาพันธ์ 2568 นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาข้อเท็จจริง และผลกระทบกรณีการผลักดันชาวอุยกูร์ กลับไปประเทศจีน โดยกังวลว่า เมื่อปี 2558 ประเทศไทยเคยส่งชาวอุยกูร์ 109 คนกลับไปยังประเทศจีนแล้วครั้งหนึ่ง และกลายเป็นตราบาป เพราะไม่รู้ชะตากรรมของชาวอุยกูร์ และเป็นมลทินมัวหมองต่อชื่อเสียงประเทศไทย ดังนั้น สภาผู้แทนราษฎรควรได้นำเสนอข้อมูล และประเมินผลกระทบทางการเมือง เศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ และความมั่นคงปลอดภัยของประเทศไทย 


นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม อภิปรายตำหนิรัฐบาล หลังต่างประเทศขอให้ประเทศไทย แก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืนโดยยึดหลักการมนุษยธรรม หลักมนุษยชน และเห็นว่า การผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นกำเนิด โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ยังไม่เอื้ออำนวยให้ชาวอุยกูร์สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และสภาฯจำเป็นต้องพิจารณาออกกฎหมายรองรับเรื่องนี้โดยด่วน

ด้าน นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ สส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ ยอมรับว่า พรรคประชาชาติ มีความเป็นห่วงในเรื่องดังกล่าว จึงเสนอให้กระทรวงการต่างประเทศ มาชี้แจงในประเด็นดังกล่าวนี้ เพราะขัดต่อพระราชบัญญัติซ้อมทรมานและการสูญหาย 

ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายสรุปญัตติ โดยแสดงความกังวลถึงการส่งตัวชาวอุยกูร์ จำนวน 40 คน กลับจีนของรัฐบาลไทย หลังก่อนหน้านี้ ไทยเคยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลับจีนแล้ว ซึ่งเพศชายจะถูกส่งกลับจีน และเพศหญิง รวมถึงเด็กได้ถูกส่งไปประเทศอื่น จนเกิดเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เมื่อปี 2558 รวมถึงประเทศไทย ยังถูกจับจ้องเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ซึ่งจะมีส่งผลกระทบต่อแง่มุมเศรษฐกิจด้วย


รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน

พร้อมยังเห็นว่า การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน เมื่อช่วงเช้ามืดวันนี้ (27 ก.พ.) เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดต่อเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเป็นการแอบทำ ไม่มีความโปร่งใส ที่ผ่านมาฝ่ายค้านได้ออกมาตั้งข้อสังเกตต่อเหตุการณ์ แต่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาตอบโต้ฝ่ายค้านว่า ไม่เป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่เกิดขึ้น กลับสะท้อนข่าวลือก่อนหน้านี้ได้ว่า มีการตระเตรียมการเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด รวมถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร.ได้ออกมายืนยันว่า การส่งตัวดังกล่าว เป็นไปตามมติของ สมช.แต่เหตุใด นายกรัฐมนตรี ที่เป็นประธาน สมช.กลับไม่ทราบข้อเท็จจริงการส่งตัวชาวอุยกูร์ และ เลขาธิการ สมช.ก็ได้เดินทางไปส่งที่จีนด้วย

จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า การส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งนี้ อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะนายกรัฐมนตรี ที่เป็นประธาน สมช.กลับไม่ทราบข้อเท็จจริง จนสถานทูตจีนได้เผยแพร่ภาพนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช.ได้เดินทางไปส่งตัวชาวอุยกูร์ด้วย รวมถึงยังมีการต่อสู้คดีในชั้นศาลที่ยังไม่สิ้นสุดว่า ชาวอุยกูร์ 48 คนถูกขังในห้องกัก ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล และอาจเป็นการละเมิดอำนาจศาลด้วย ทำให้ข้าราชการประจำเสี่ยงกระทำผิดกฎหมายด้วย 

นายรังสิมันต์ ยังกังวลว่า การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบด้านความมั่นคง ที่รัฐบาลอาจต้องเตรียมรับมือด้วย เพราะหากมีเหตุระเบิด หรือเหตุรุนแรงเกิดขึ้นเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมา ก็เป็นผลกระทบที่คนไทย จะต้องแบกไปด้วย และยังจะกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวไทยด้วย ซึ่งมาจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดจากการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่คนไทยต้องแบกรับ รวมถึงยังอาจเกิดความขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกาที่กังวลต่อเรื่องดังกล่าว รวมถึงผลกระทบเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะ การเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ HRC อาจถูกวิจารณ์ว่า ประเทศไทยไม่ได้ให้ความสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน 

นายรังสิมันต์ ยังแนะนำให้รัฐบาล เร่งเตรียมการแก้ปัญหาระยะสั้นถึงผลที่จะเกิดตามมา โดยนายกรัฐมนตรี ควรเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคง และพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาว่า จะมีมาตรการป้องกันผู้ก่อการใด ๆ ในประเทศไทยที่จะกระทบต่อประชาชน และเศรษฐกิจไทย รวมถึงการเตรียมการของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. และหน่วยข่าวกรองจะต้องเตรียมพร้อม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุความรุนแรง 


นายรังสิมันต์ โรม  สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะพิจารณาญัตตินี้ บรรยากาศการประชุมฯ เป็นไปอย่างวุ่นวาน เนื่องจาก มี สส.ส่วนหนึ่งได้ทักท้วงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความชัดเจนแล้วหรือไม่ หรือเป็นเพียงกระแสข่าว ซึ่ง สส.ฝ่ายค้าน ได้ลุกขึ้นยืนยันว่า มีการแถลงข่าว และรายงานข่าวแล้ว ทั้งสื่อต่างประเทศ และสื่อของทางการจีนเอง ทำให้นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอให้พักการประชุม และให้ประธานการประชุม โทรศัพท์ไปสอบถามข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ก่อนที่นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้เสนอนับองค์ประชุม เพราะเรื่องดังกล่าวจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือควรมี สส.มาร่วมพิจารณาครบองค์ประชุม หรือดำเนินการประชุมลับ 

ทำให้ นายรังสิมันต์ ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า หากเสนอให้นับองค์ประชุม จุดประสงค์ของรัฐบาลคือไม่ต้องการให้มีการอภิปรายกันในเรื่องนี้ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลอยู่กันให้ครบองค์ประชุม เพราะฝ่ายค้าน จะไม่เป็นองค์ประชุมให้ และจะได้เห็นความจริงใจของรัฐบาล ที่ไม่ได้แคร์ผลกระทบที่จะมีต่อประเทศ


อดิศร เพียงเกษ สส. พรรคเพื่อไทย

ก่อนที่นายอดิศร จะลุกขึ้นตอบโต้ว่า อย่าเอาไม้ มาสอนขวาน และขอเดินหน้านับองค์ประชุม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีข้อมูลในการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และ สส.มองกันคนละมุม มวยคนละชั้น

ทำให้ นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ต้องหย่าศึก และสั่งพักการประชุม ก่อนที่นายอดิศร จะยอมถอยญัตติการเสนอนับองค์ประชุม ทำให้ที่ประชุม สามารถเดินหน้าพิจารณาเรื่องดังกล่าวต่อไปได้จนจบ สำหรับความเห็นที่เกิดขึ้นในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะถูกส่งไปให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาดำเนินการต่อไป