KUBET – รมว.กต.นำประชุม JBC ฝ่ายไทยก่อนประชุมร่วมกัมพูชากลาง มิ.ย.นี้

รมว.กต.นำประชุม JBC ฝ่ายไทยก่อนประชุมร่วมกัมพูชากลาง มิ.ย.นี้

รมว.กต.นำประชุม JBC ฝ่ายไทยก่อนประชุมร่วมกัมพูชาเร่งแก้ปัญหาชายแดนกลาง มิ.ย.นี้ – ยืนยันการดำเนินการฝ่ายไทยเป็นไปตามหลักสากล – หวัง 2 ฝ่ายไม่ทำสถานการณ์เลวร้าย

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม: Joint Boundary Committee หรือ JBC ฝ่ายไทย ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568 ที่กระทรวงการต่างประเทศ ในวันนี้ (1 มิ.ย.) ซึ่งสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า ประเทศไทย และกัมพูชา มีความใกล้ชิดกัน ทั้งระดับรัฐบาล และประชาชน จึงจำเป็นต้องดำเนินการทุกวิถีทาง ที่ไม่ทำให้สถานการณ์บานปลาย จนกระทบความสัมพันธ์ที่ดีของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งหากมีการกระทบกระทั่งกันมาก ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อฝ่ายใดทั้งสิ้น ซึ่งหลังเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่บริเวณช่องบก ที่จังหวัดอุบลราชธานีนั้น กระทรวงการต่างประเทศ ก็ไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยืนยันว่า การดำเนินการของฝ่ายไทย เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในอย่างเหมาะสม และได้สัดส่วนกันสถานการณ์ ซึ่งสอดคล้องหลักกฎหมาย และปฏิบัติสากลที่เกี่ยวข้อง พร้อมเปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์ชายแดนยังสงบ ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงเปิดทำการปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากหลังเกิดเหตุการณ์ขึ้น ได้มีการรือกันในหลายระดับ และตนเองได้ติดต่อนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทางโทรศัพท์ทันทีที่มีปัญหา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ก็เห็นด้วยที่จะยุติความตรึงเครียดโดยเร็ว และผู้บัญชาการทหารบกของทั้ง 2 ประเทศ ยังได้พบกันเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม เพื่อพูดคุยกันในการลดความตึงเครียด 

นายมาริษ ยังเปิดเผยอีกว่า เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ตนเองซึ่งอยู่ระหว่างการร่วมการประชุมนิเคอิ ฟอร์รั่ม ที่ประเทศญี่ปุ่น ตนเองได้หารือร่วมกับสมเด็จฮุนมาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมถึงกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายเห็นว่า จะต้องมีความร่วมมือกัน เพื่อลดความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดน โดยใช้กลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศ ได้เห็นชอบส่งเสริมความร่วมมือ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย เพราะฉะนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องจะใช้กลไกที่มี และเจตนารมณ์ทางการเมือง เพื่อแก้ปัญหาอย่างสันติ ไม่มีความขัดแย้ง ผ่านกลไก 3 ระดับที่มี ทั้ง คณะกรรมาธิการฯ JBC ซึ่งเป็นการเจรจาการกำหนดเขตแดน และคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา: General Border Committee หรือ GBC ซึ่งมีการเจรจาไปแล้วก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นขึ้น รวมถึงกลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา: Regional Border Committee หรือ RBC ซึ่งฝ่ายไทยพยายามใช้ 3 กลไกแก้ปัญา เพื่อนำความสงบกลับคืนมา ดังนั้น ในวันนี้ (1 มิ.ย.) จึงได้ประชุม เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม JBC ที่ทั้ง 2 ฝ่าย จะเร่งผลักดันให้มีการประชุมโดยเร็วที่สุด 

 

นายมาริษ ยังเห็นว่า ทั้ง 2 ประเทศ จำเป็นจะต้องใช้ความอดอนอดกลั้น ไม่ดำเนินการใดที่จะทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้น และใช้ความอดกลั้น ไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่านี้ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย และไม่บานปลาย เพื่อให้กลไกการเจรจาในกรอบ JBC ดำเนินการไป เพื่อแก้ปัญหานี้ พร้อมขอความร่วมมือไม่ทำให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และระวังไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่สมควรเปิดเผย เพื่อไม่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปมากกว่านี้ 

ขณะที่ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ระบุว่า การดำเนินการของฝ่ายไทยตามที่มีเหตุปะทะกัน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี จนเป็นเหตุให้ทหารของฝ่ายกัมพูชา เสียชีวิต 1 รายนั้น กระทรวงการต่างประเทศ ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการสูญเสียกำลังพลจากการปะทะกันดังกล่าว แต่การดำเนินการของไทยเป็นไปเพื่อรักษาอธิปไตย และบูรณาภาพแห่งดินแดนจากการรุกล้ำของกองกำลังทหารติดอาวุธต่างประเทศ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายภายในของไทย เพื่อป้องกันอธิปไตย และเป็นไปเพื่อการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม และได้สัดส่วนกับสถานการณ์ ที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล

 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำว่า สถานการณ์ตามด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ยังมีความสงบ และยังคงเปิดทำการตามปกติทุกด่าน พร้อมหวังว่า จะมีการประชุม JBC ซึ่งเป็นกลไกด้านเทคนิค และกฎหมาย เพื่อสร้างความชัดเจนในเส้นเขตแดน ระหว่างไทย และกัมพูชา เพื่อให้มีการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนที่ชัดเจน ลดการเผชิญหน้าของทหารทั้ง 2 ฝ่าย และไทยพยายามจะให้มีการจัดการประชุม JBC ในโอกาสแรกอย่างเร็ว ภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า หรือไม่น่าเกินกลางเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมขอให้ทุกฝ่าย คำนึงถึงการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจทั้ง 2 ประเทศ และความเข้าใจอันดีระหว่างกัน 

 

ส่วนการประชุมที่จะจัดขึ้นเร็วที่สุด ยังติดปัญหาปัจจัยใดหรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ไม่มีปัญหา เพียงแต่จะต้องรอเวลาทั้ง 2 ฝ่ายให้ตรงกัน และทางฝ่ายไทยมีความพร้อมในการเจรจาแล้ว ซึ่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศของไทย ในฐานะรองประธาน JBC ก็มีความพร้อมการเจรจา แต่จะรอกัมพูชา ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุมกำหนดวันที่ชัดเจน 

 

ส่วนการโพสต่าง ๆ ของสมเด็จฮุนเซ็น อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะมีผลทางกฎหมายใด ๆ หรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ไม่มีผลทางกฎหมาย เพียงแต่ไทยกำกับในฝั่งในไทย ที่ต้องการให้ข้อมูลสะท้อนผ่านสื่อเป็นไปตามความเป็นจริงมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ 

 

ส่วนกรณีหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือปะทะรุนแรงกระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการอย่างไรนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า กรณีดังกล่าว เกินอำนาจของกระทรวงการต่างประเทศ เพราะจะเกี่ยวข้องกับกองทัพ ตำรวจตระเวณชายแดน และหน่วยงานอื่น ๆ แต่ยืนยันว่า ยังไม่มีการปะทะรุนแรง และยังอยู่ในขั้นตอนการคลี่คลายปัญหาอย่างสันติและพร้อมเจรจา 

 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังยืนยันว่า จุดยืนของทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม มีความสอดคล้องกันในการเจรจา และรักษาสันติภาพทั้ง 2 ฝ่าย เพราะฝ่ายกองทัพ ก็ไม่ได้ประสงค์ให้เกิดความรุนแรง และฝ่ายไทยทุกฝ่าย ทุกกระทรวง ก็มุ่งหาข้อยุติปัญหาอย่างสันติวิธี