KUBET – “วิญญัติ” เผยไต่สวนพยานนัดหน้าเตรียม “เเพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ” ขึ้นศาลฎีกา
“วิญญัติ” เผยไต่สวนพยานนัดหน้าเตรียม “เเพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ” ขึ้นศาลฎีกา
”วิญญัติ“ เผยไต่สวนพยานนัดหน้าเตรียม “เเพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ” ขึ้นศาลฎีกา ไม่หนักใจยันป่วยจริง “หมอวรงค์” ระบุใกล้ End game
15 กรกฎาคม ที่ศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน ศาลนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
โดยก่อนหน้านี้ศาลได้นัดไต่สวน นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ กลุ่มแพทย์ประจำสถานพยาบาลราชทัณฑ์ 5 ปาก และกลุ่มพัศดีเวรประจำวัน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ส่วนในวันนี้เป็นการไต่สวนพยานส่วนของผู้บริหารเครือกรมราชทัณฑ์ และผู้บริหารโรงพยาบาลราชทัณฑ์
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการไต่สวนนัดที่ 4 ว่าในวันนี้ศาลได้เรียกพยานจำนวน 6 ปาก ประกอบด้วยอธิบดีกรมราชทัณฑ์อดีตผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และรองผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่อยู่ในช่วงที่มีการรับตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ส่วนที่ศาลจะซักถามบุคคลเหล่านี้ในประเด็นใดนั้นตนไม่ทราบ ไม่อาจก้าวล่วงได้ แต่ในส่วนของอธิบดีกรมราชทัณฑ์คาดว่าน่าจะเป็นส่วนในการพิจารณาตัวบทกฎหมายระเบียบ ขั้นตอน เกี่ยวข้องกับเรือนจำและราชทัณฑ์ และมีบางส่วนที่อธิบดีอาจจะต้องใช้อำนาจดุลยพินิจ ในการที่จะให้นายทักษิณรักษาตัวนอกเรือนจำ ส่วนจะเป็นประเด็นตามที่ตนพูดหรือไม่ก็ต้องรอดูว่าศาลท่านจะให้ความสนใจหรือสอบถามในเรื่องใดบ้าง
สำหรับการไต่สวนในวันนี้ ศาลยังอนุญาตให้ผู้ที่สนใจรวมทั้งสื่อมวลชนเข้ารับฟัง แต่ในส่วนของสื่อมวลชน ไม่อนุญาตให้มีการนำอุปกรณ์เข้าไปจดบันทึก โดยให้ฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ขณะที่นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี และนายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเสื้อหลากสีก็ยังเดินทางมารับฟังการไต่สวนเช่นทุกครั้ง
สำหรับบรรยากาศการไต่สวนวันนี้ศาลได้นัดไต่สวนพยานทั้งหมด 6 ปาก ในช่วงเช้าศาลได้ไต่สวนพยานจำนวน 4 ปาก ประกอบด้วย
1.นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์
2.นายนัสที ทองปลาด อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
3.นายสิทธิ สุทธีวงศ์ อดีตรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์
4.นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์
และอีก 2 ปาก ไต่สวนในช่วงบ่ายเป็น
5.นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์
6. นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้บริหารโรงพยาบาลราชทัณฑ์
โดยศาลไต่สวนผู้บริหารกรมราชทัณฑ์เกี่ยวกับเรื่อง การรับตัวนายทักษิณเข้ามาที่เรือนจำการตรวจร่างกายของพยาบาลเรือนจำ การส่งตัวนายทักษิณไปรักษายังโรงพยาบาลตำรวจ อาการป่วยของนายทักษิณ โดยมีความเห็นของแพทย์ที่จะต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเร่งด่วนและมีการขยายเวลาการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในช่วงเวลา 30 วันและช่วงเวลา 60 วันโดยพยานระบุว่ามีการเซ็นคำสั่งไปตามความเห็นของแพทย์ โดยในการพิจารณาดังกล่าว เป็นไปตามกฎกระทรวง และพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ รวมถึงเรื่องการพักโทษนายทักษิณ
ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นการไต่สวนแพทย์ผู้บริหารโรงพยาบาลราชทัณฑ์อีกจำนวน 2 ปาก
พยานรายที่ 5 คือ นายแพทย์พงศ์ภัค อารียาภินันท์ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ โดยในขณะที่มีการส่งตัวจำเลยไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ พยานดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฯ ส่วนการแพทย์ ทำให้พยานมีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยเฉพาะช่วงที่มีการพิจารณารักษาโรงพยาบาลภายนอกเกิน 120 วัน โดยทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้ขอความเห็นประกอบการพิจารณาว่าการที่จำเลยจะต้องเข้ารับการผ่าตัดในตอนนั้น เกินศักยภาพของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือไม่
นอกจากนี้ ศาลเน้นสอบถามพยานในเชิงขอความเห็นทางการแพทย์ว่า อาการในวันส่งตัว รวมถึงประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ สอดคล้องกันหรือไม่ และแนวทางการรักษาทั้งหมด เกินศักยภาพของทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์จริงหรือไม่ โดยมีการให้ดูเอกสารบันทึกของแพทย์และพยาบาลที่ดูแลรักษาจำเลยขณะที่อยู่โรงพยาบาล และถามความเห็นในฐานะแพทย์
อย่างไรก็ตาม ภายหลังศาลซักถามเสร็จสิ้นประมาณ 1 ชั่วโมง ทนายความของจำเลย ได้ขออนุญาตศาลสอบถามพยานว่า ในทางการแพทย์ การที่แพทย์ที่ไม่ได้ทำการรักษาคนไข้เอง มาอ่านบันทึกการรักษาของแพทย์คนอื่น จะมีข้อจำกัดในการแสดงความคิดเห็นทางการรักษาหรือไม่ พยานก็บอกว่าโดยปกติในทางการแพทย์ สิ่งสำคัญคือแพทย์จะต้องตรวจรักษาผู้ป่วยและซักประวัติด้วยตนเอง จึงจะได้ความเห็นที่ถูกต้องที่สุด
พยานรายที่ 6 คือ นายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข อดีตผู้อำนวยการทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงที่มีการส่งตัวจำเลยไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยเป็นผู้มอบหมายแพทย์เวรให้เข้าไปตรวจร่างกายจำเลยในช่วงที่รับตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้ทำการรักษาด้วยตนเอง เนื่องจากมีหน้าที่ในส่วนงานบริหารเท่านั้น ซึ่งศาลได้ถามในเชิงขอความเห็นทางการแพทย์จากบันทึกการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจเช่นกัน และถามย้ำในศักยภาพการรักษาของทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
สำหรับการพิจารณาของศาลในครั้งนี้ มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยศาลอนุญาตให้สื่อมวลชน ที่ได้รับอนุญาตเข้าฟังการไต่สวน แต่ไม่อนุญาตให้จดบันทึกคำเบิกความ โดยไม่ให้นำกระดาษและปากกาเข้าไปภายในห้องพิจารณา เนื่องจากป้องกันไม่ให้กระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล เเละมีคำสั่งไปไต่สวนพยานาบุคคลต่อในวันที่ 18 ก.ค.2568
ด้าน นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ร้องกล่าวว่า วันนี้ตนได้ยื่นขอให้ศาลอนุญาตเปิดเผยข้อเท็จจริง ที่ทนายความของนายทักษิณ ขอศาลมีคำสั่งไม่ให้เปิดเผยรายละเอียดการไต่สวน เนื่องจากขัดรัฐธรรมนูญเเต่ศาลฎีกายกคำร้อง แต่ก็ไม่ถึงขนาดไม่อนุญาตให้เข้าฟังเพียงแต่ให้อยู่ในภาพรวม ถ้าตนเป็นทนายความของนายทักษิณจะอนุญาตให้เปิดเผยความจริงทั้งหมด
ขณะนี้ความจริงเปิดออกมาก็เสียวไส้กับคนที่ไปช่วยกระบวนการที่อาจจะต้องไปติดคุกแทน เพราะได้พานายทักษิณไปนอนโรงพยาบาล ในวันที่ 18 ก.ค.นี้ตนจะนำใบเสร็จมาเเสดง ว่าทำไมนายทักษิณ จะต้องจ่ายเงินทั้งที่น่าจะไม่ได้ป่วย เมื่อความจริงจะปรากฎจะได้รู้ว่านายทักษิณโกหกประชาชนอย่างไรและเป็นต้นตอที่ต้องมาเสียเวลากับเหตุนี้ทั้งหมด
ที่ผ่านมาศาลก็ระมัดระวังเพื่อความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ไม่อยากให้สื่อลงรายละเอียดคำไต่สวนทั้งหมด ทำให้พยานที้ยังไม่ได้สืบรู้ว่าพยานก่อนหน้านี้เบิกความอย่างไร ก็ต้องเข้าใจศาล
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี กล่าวว่า พยานเบิกความแบ่งเป็น 2 ชุด ชุดแรกเกี่ยวกับราชทัณฑ์ ชุดที่สองเป็นโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ถ้าพูดภาษาชาวบ้านเรียกว่าแทบจะน็อคแล้วหรือEnd game เพราะทุกอย่างได้รับการเปิดเผยว่านักโทษที่ถูกส่งตัวและอ้างว่าป่วยวิกฤติ ประเมินแล้วประมาณ 2 วันก็อาการทุเลาแล้ว โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพในการรักษา ส่วนผู้บริหารกรมราชทัณฑ์นั้น ศาลได้ซักถามเกี่ยวกับใบรับรองแพทย์มี่ทำการรักษาระหว่างวันที่ 30-120 วัน เป็นอำนาจของใคร ฝ่ายแพทย์อ้างว่าเป็นอำนาจของราชทัณฑ์ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อ้างว่าเป็นอำนาจของแพทย์
วันที่ 22 ส.ค.2566 ก่อนที่จะส่งตัวนายทักษิณ ศาลก็ได้ซักจนมีเอกสารออกมาว่าให้มีการเตรียมพร้อม นั่นแสดงว่า มีการรู้แล้วว่าเตรียมพร้อมจะส่งไปโรงพยาบาลภายนอกและยังซักต่อประเด็นที่ไม่รับตัวนักโทษกลับเรือนจำ เพราะอาการหนักใช่หรือไม่
ศาลก็ซักต่อว่าทำไมป่วยหนักต่อเนื่องกัน 181 วันและวันที่18 ก.พ.2567 ที่ได้ปล่อยตัว จึงมีอาการหายป่วยทันที
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังศาลเสร็จสิ้นการไต่สวนพยานจำนวน 6 ปากในคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 ว่า กระบวนการไต่สวนวันนี้เป็นไปตามข้อสงสัยของศาล โดยให้ทั้งฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์มีโอกาสซักถามอย่างเต็มที่
นายวิญญัติ ระบุว่า ศาลยังได้ออกหมายเรียกให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์มาให้การเกี่ยวกับกรณีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาเกินกว่า 120 วัน พร้อมรายงานสถิติที่เกี่ยวข้อง และอ้างอิงมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติ (Mandela Rules) ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ควรได้รับโอกาสในการรักษาอย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ ศาลอนุญาตให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์และผู้เกี่ยวข้องส่งเอกสารเพิ่มเติมภายใน 7 วัน ก่อนจะมีการไต่สวนครั้งถัดไปในวันที่ 18 ก.ค. 2568 ซึ่งจะเป็นการไต่สวนแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และทีมแพทย์ที่ดูแลอาการป่วยของนายทักษิณ รวมทั้งสิ้นประมาณ 6 ปาก
สำหรับพยานฝ่ายจำเลยที่เหลือ นายวิญญัติ เปิดเผยว่า ได้ยื่นขอเบิกพยานเพิ่มอีก 3 ปาก โดยในจำนวนนี้ 2 รายเป็นแพทย์ที่ศาลมีคำสั่งเรียกมาไต่สวนแล้ว และได้ยื่นคำถามล่วงหน้าสำหรับใช้ในการซักถามไว้เรียบร้อย ส่วนพยานอีก 1 ปาก ศาลยังไม่มีคำสั่งรับหรือปฏิเสธ แต่ได้ยื่นบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงไว้แล้ว พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าเพื่อความเป็นธรรม ศาลควรพิจารณาอนุญาตให้เบิกพยานรายนี้ด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความกังวลของฝ่ายจำเลย
นายวิญญัติ กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกหนักใจ เนื่องจากนายทักษิณมีอาการป่วยจริง ทั้งในขณะพำนักอยู่ต่างประเทศและขณะถูกคุมขังในเรือนจำ โดยเฉพาะในวัยกว่า 70 ปี และมีโรคประจำตัวหลายโรค ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบได้ พร้อมย้ำว่าศาลได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างรอบคอบ และเชื่อว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมในที่สุด
ในส่วนของแนวทางการต่อสู้
นายวิญญัติ ยืนยันว่าได้ยื่นคำชี้แจงต่อศาลครบถ้วน โดยการไต่สวนยังอยู่ในกระบวนการปิดลับ ห้ามเปิดเผยถ้อยคำพยานต่อสาธารณะ ซึ่งได้มีการกำชับจากศาลแล้วเช่นกัน
สำหรับคำร้องอื่น ๆ ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ได้แก่ คำร้องขอใช้สิทธิ์ตั้งคำถามล่วงหน้ากับพยาน และคำร้องให้รับบันทึกถ้อยคำของพยานปากสุดท้าย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งชัดเจน ต้องรอการพิจารณาในนัดหน้า
นายวิญญัติ ทิ้งท้ายว่า ขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการรายงานข่าวตามข้อเท็จจริง โดยหลีกเลี่ยงการตีความหรือให้ข้อมูลที่อาจสร้างความสับสนแก่สาธารณชน ยืนยันว่าศาลกำลังดำเนินการอย่างรอบคอบและอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายและความยุติธรรม