KUBET –  “ESG พลิกอนาคตการคลังไทยสู่ความยั่งยืน”  

 “ESG พลิกอนาคตการคลังไทยสู่ความยั่งยืน”  

แนวคิด ESG องค์กรที่ประกอบการโดยคำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนมักจะใช้ประกอบการพิจารณาการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยมีความสำคัญของ 3 แนวคิดนี้ก็คือ

“E” Environmental (สิ่งแวดล้อม)  เป็นหลักเกณฑ์ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบขององค์กรต่อสิ่งแวดล้อม

 

“S” Social (สังคม) เป็นหลักเกณฑ์ที่ชี้วัดว่าองค์กรจัดการความสัมพันธ์และสื่อสารกับสังคมอย่างไร

 

“G” Governance (บรรษัทภิบาล) เป็นหลักเกณฑ์ที่วัดว่าองค์กรมีการบริหารจัดการเรื่องความสัมพันธ์ในเชิงของการกำกับดูแลอย่างไร ซึ่งการบริหารจัดการนี้ต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย

 

ซึ่ง ESG นี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าองค์กรมีความรับผิดชอบต่อโลกอย่างไรและมีแนวโน้มในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างไรภายใต้แนวโน้มของการทำธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นหลัก

ทำไม ESG จึงสำคัญต่อการคลังไทย

เทรนด์โลกตอนนี้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มหันมา ให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้น โดยเฉพาะด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อ้างอิงจากรายงานของ Global Sustainable Investment Alliance (GSIA) มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ(AUM) โดยคำนึงถึงปัจจัย ESG ทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 30.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 เป็น 35.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต

 

ผู้ลง (Institutional Investor) หลายแห่งยังได้ประกาศนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพอร์ตการลงทุนของตน (Greening Portfolio) เช่น การตั้งเป้าหมายพอร์ตการลงทุนที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Net-Zero Portfolio) ภายในปี 2050 (Net-Zero Asset Owner Alliance, 2023) ซึ่งหมายความว่า ธุรกิจที่ลงทุนภายใต้พอร์ตนั้นต้องปล่อยคาร์บอนโดยเฉลี่ยสุทธิทั้งพอร์ตเป็นศูนย์ โดยแนวโน้มเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์การลงทุน ผู้ลงทุนไม่เพียงแต่คำนึงถึงผลตอบแทนทางการเงินเท่านั้น แต่ยังพิจารณาถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากการลงทุนของตนเองด้วย

คลังตั้งเป้าเป็น Digital Hub ของอาเซียน ใส่ใจพลังงานสะอาด ดึงดูดนักลงทุน 

 

จากนโยบายพลังงานปี 2568 รัฐมุ่งส่งเสริมพลังงานสะอาด  ควบคู่การจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ในประเทศ ในขณะที่ 3 การไฟฟ้า ทั้ง EGAT MEA และ PEA เตรียมพร้อมลงทุนรับมือพลังงานหมุนเวียนที่จะเพิ่มสัดส่วนมากขึ้นในอนาคต 

 

ดร.ประเสริฐ  สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวถึง  “นโยบายและทิศทางพลังงานไทย” จะมุ่งการพลิกโฉมสู่ความล้ำสมัยและความพร้อมในการปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่น”

 

โดยนโยบายด้านพลังงานที่สำคัญของไทยในปี 2568 จะให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่สัดส่วนการผลิตไฟฟ้ามาจากก๊าซธรรมชาติ ประมาณ 60% และมีสัดส่วนพลังงานสะอาด ประมาณ 26% 

 

ในการจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ หรือ PDP2024 ภายในปี 2580 สัดส่วนของก๊าซธรรมชาติจะลดลงเหลือ 41% และสัดส่วนพลังงานสะอาดจะเพิ่มเป็น 51%  โดยเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change ที่แต่ละประเทศมีเป้าหมายชัดเจนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเรื่องดังกล่าวจะกลายเป็นเงื่อนไขด้านการค้าการลงทุนในอนาคต 

 

อีกทั้งประเทศไทยมองทิศทางการส่งเสริมพลังงานสะอาดเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเตรียมพร้อมที่จะเป็น Digital Hub ของอาเซียน ซึ่งพฤติกรรมนักลงทุนหลายรายสนใจที่จะลงทุนในโครงการ Data Center และ Cloud Service เห็นได้จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ รวม 46 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 167,989 ล้านบาท 

 

ประเทศไทยมีการเตรียมความพร้อมเรื่อง Direct PPA กว่า 2,000 เมกะวัตต์ รวมถึงนโยบายไฟฟ้าสีเขียว Utility Green Tariff  เอาไว้ เพราะสิ่งที่นักลงทุนต้องการคือ ไฟฟ้าสะอาด ทั้ง 100% หรือ RE100 และต้องเป็นไฟฟ้าที่มีคุณภาพ จึงเป็นความท้าทายของ 3 การไฟฟ้า ทั้ง  EGAT , MEA , PEA ว่าจะทำอย่างไรให้ไฟฟ้าที่ใช้มีความมั่นคงและมีคุณภาพ ไม่มีไฟฟ้าตกหรือดับ พร้อมจ่ายไฟฟ้าตลอดเวลา ในขณะที่ต้นทุนค่าไฟฟ้า นักลงทุนมองเป็นเรื่องที่มีความสำคัญรองลงไป

 

ส่งเสริมการจัดการแหล่งพลังงานใหม่ในประเทศ 

“การที่ไทยต้องพึ่งพาพลังงานนำเข้าถึงร้อยละ 75 ทำให้ราคาน้ำมันหรือ LNG ตลาดโลก ที่มีปัจจัยจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลต่อราคาในประเทศ ดังนั้นการที่เรามีแหล่งพลังงานในประเทศเพิ่มขึ้น จะช่วยลดการนำเข้า และช่วยลดต้นทุนราคาค่าไฟฟ้าลงได้ ” ดร.ประเสริฐ กล่าว

โดยสรุปนโยบายพลังงานของไทย จะยึดมั่นใน 3 หลักการสำคัญคือ

  • ระบบไฟฟ้ามั่นคง(Security) 
  • มีราคาที่เหมาะสม (Economy) 
  • มีความยั่งยืน (Sustainable) 

 

พันธบัตรเขียว (Green Bonds) หรือ ESG Bonds ในไทย

เมื่อเทรนด์รักษ์โลกยังคงเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกที่ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน และพยายามช่วยกันหาทางแก้ไขปัญหา ซึ่ง Green Bond ถือเป็นเครื่องมือการลงทุนอย่างหนึ่งที่เข้ามาตอบโจทย์การลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม 

 

Green bond หรือ ตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรต่างๆ เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืน เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียน, การขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม ผู้ออก Green Bond ได้ประโยชน์จากการดึงดูดนักลงทุนกลุ่มใหม่ที่เป็นคนอายุน้อย ช่วยยกระดับภาพลักษณ์องค์กร สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ส่วนผู้ลงทุน Green Bond ได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจและพึงพอใจที่รู้ว่าเงินลงทุนถูกนำไปใช้ในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมโดยตรง

 

การออก Green Bond ในไทย

จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า การออก Green Bond ในไทยตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา มีมูลค่ารวม 85,300 ล้านบาท จาก 11 บริษัท คิดเป็นเพียง 2% ของมูลค่าหุ้นกู้ภาคเอกชนทั้งหมด และมากกว่า 50% ออกโดยบริษัทในกลุ่มพลังงาน ซึ่งประเมินว่าไทยต้องการเงินลงทุนในภาคพลังงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ยปีละไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 25% ภายในปี 2573

 

ยกตัวอย่างการออก Green Bond ของบริษัทในไทย

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ได้ออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Green Bond ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด เสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ย. 64 รวมมูลค่า 10,200 ล้านบาท 

 

โดย BTS จะนำเงินที่ได้ไปใช้ในโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือ-ใต้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงานสะอาด และลดการใช้รถยนต์ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยบริษัทประสบความสำเร็จในการออก Green Bond เป็นอย่างดี มีผู้ลงทุนให้ความสนใจมากกว่ามูลค่าที่เสนอขายถึง 2 เท่า

 

ESG ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือ “ทางรอด” ทางการคลัง

การคลังไทยต้องปรับเปลี่ยนจากงบประมาณแบบเดิม สู่ “การคลังเชิงคุณค่า” (Value-based Budgeting) ESG มีส่วนช่วยวางรากฐานการเงินการคลังที่ยั่งยืน โปร่งใส และตอบโจทย์อนาคต ดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ๆ ที่ใส่ใจความโปร่งใส่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระทรวงการคลังเดินหน้าให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก 

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) ได้มีการจัดตั้งกองทุนรวมไทย (Thai ESGX) เพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ เพิ่มการลงทุนในกิจการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล และเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนสำหรับนักลงทุน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนไม่ให้เงินลงทุนไหลออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อันจะเป็นการเพิ่มเสถียรภาพของตลาดทุนไทยและสร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุน  

 

อ้างอิง

https://setsustainability.com/libraries/1334/item/why-carbon-market-the-series-2- 

https://www.datarails.com/finance-glossary/value-proposition-budgeting/

https://www.oecd.org/content/dam/oecd/en/about/programmes/cefim/thailand/OECD%20CLEAN%20ENERGY%20THAILAND%20THAI%20WEB.pdf/_jcr_content/renditions/original./OECD%20CLEAN%20ENERGY%20THAILAND%20THAI%20WEB.pdf 

https://setsustainability.com/libraries/1334/item/why-carbon-market-the-series-2-

https://setsustainability.com/libraries/1333/item/why-carbon-market-the-series-3-